ปัจจุบันนี้การพัฒนาหม้อแปลงไฟฟ้ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย
ๆตามลำดับ ซึ่งพอจะสรุปชนิดของหม้อแปลงไฟฟ้าได้ ดังนี้
- Askarel filled transformers
- Silicone filled transformers
- Conventional dry type transformers
- Impregnated dry type transformers
- Cast resin or resin encapsulated transformers
- SF6 insulated transformers
ซึ่งในบทความนี้จะเสนอหม้อแปลงชนิด Resin
Encapsulated Dry Type หรือ Cast Resin Dry
Type โดยมีองค์ประกอบดังนี้
· เรซิ่น (Resin) และไฟเบอร์กลาส (Glass fiber)
เรซิ่น คือ
ของเหลวที่ใช้เป็นฉนวนเคลือบขดลวดหม้อแปลงไฟฟ้าซึ่งควรจะมีคุณสมบัติในการไม่ติดไฟที่อุณภูมิต่ำกว่า
350 องศาเซลเซียส
และควรจะมีคุณสมบัติในการป้องกันความชื้นสู่ขดลวดไฟฟ้า สำหรับไฟเบอร์กลาสนั้น
เป็นส่วนผสมของเรซิ่นที่ควรคำนึงถึง เนื่องจากมีคุณสมบัติในการเพิ่มความแข็งแรงให้กับหม้อแปลง
เพิ่มประสิทธิภาพการขยายตัวของเรซิ่นเท่ากับขดลวดที่ใช้
เพื่อป้องกันความแตกร้าวของเรซิ่น ในขณะที่ความร้อนของตัวหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
· แกนเหล็ก (Core)
แกนเหล็กควรจะทำด้วย Grain Oriented Transformer Lamination
Sheet ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความสูญเสียในแกนเหล็กต่ำ
· ขดลวด (windings)
ขดลวดที่ใช้สำหรับหม้อแปลงไฟฟ้าควรจะเป็นขดลวดทองแดง
ซึ่งมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวใกล้เคียงกับเรซิ่นและไฟเบอร์กลาสมากกว่าขดลวดอะลูมิเนียมหม้อแปลง
เคสท์ เรซิ่น (Cast Resin)ต้องสามารถทนอุณหภูมิสูงสุดที่ 155 องศาเซลเซียส ตามมาตรฐาน IEC 216 หรือตามมาตรฐาน VDE Insulation Material Class F จะเห็นได้ว่าหม้อแปลงจะต้องออกแบบให้ทนความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิจนถึง
155 องศาเซลเซียส
กล่าวคือการขยายตัวของขดลวดและเรซิ่นจะต้องมีอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันที่สุด
เพื่อป้องกันการแตกร้าวของหม้อแปลง
· ท่อระบายอากาศระหว่างชั้นของขดลวด
(Cooling Ducts)
เนื่องจากหม้อแปลงชนิดแห้งไม่มีน้ำมันช่วยระบายความร้อนออกจากขดลวด
ดังนั้นในการเลือกซื้อหม้อแปลงควรจะคำนึงถึงท่อระบายอากาศระหว่างชั้นของขดลวดด้วย
เพื่อที่ความร้อนจะสามารถถ่ายเทจากผิวของเรซิ่นสู่อากาศได้มากที่สุด
ซึ่งเหมาะกับอากาศร้อนในประเทศไทย ในกรณีที่ผู้ผลิตหม้อแปลงไม่มีท่อระบายอากาศต้องใช้พัดลมช่วยในการระบายอากาศ
ซึ่งมีข้อเสียในกรณีที่พัดลมเสียจะทำให้หม้อแปลงมีความร้อนสูงมาก
· พัดลม (Fan)
ในกรณีที่ผู้ซื้อต้องการเผื่อขนาดของหม้อแปลงไว้สำหรับการเพิ่มโหลดในอนาคต
ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อหม้อแปลงพร้อมพัดลมได้ ซึ่งพัดลมนี้สามารถเพิ่มกำลังไฟฟ้าให้กับหม้อแปลงได้ถึง
20-80 % อย่างต่อเนื่อง
มีข้อที่พึงสังเกตสำหรับชนิดของพัดลมนั้นควรจะเป็นพัดลมชนิดเรเดียล
ติดตั้งที่ด้านล่างของหม้อแปลง เพื่อที่จะสามารถขับลมผ่านระหว่างชั้นของขดลวดได้
พัดลมควรจะติดตั้งโดยผู้ผลิตหม้อแปลงเพื่อที่บริษัทผู้ผลิตสามารถออกใบรับรองการเพิ่มขึ้นของกำลังไฟฟ้าในหม้อแปลง
· อุปกรณ์ป้องกันหม้อแปลง
ผู้ซื้อควรจะระบุให้ผู้ขายติดตั้ง
เทอร์มิสเตอร์ (Thermistors)
ภายในตัวหม้อแปลงทั้งสามเฟสและต้องเป็นชนิดและต้องเป็นชนิดที่สามารถถอดเปลี่ยนได้
เทอร์มิสเตอร์นี้สามารถส่งสัญญาณไปที่รีเลย์ได้
ในกรณีที่หม้อแปลงมีความร้อนเกินกำหนด
· ตู้หม้อแปลง (Enclosure)
เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้หม้อแปลงไฟฟ้า
จำเป็นจะต้องสั่งซื้อหม้อแปลงพร้อมตู้
โดยปกติแล้วตู้หม้อแปลงไฟฟ้าจะทำให้กำลังไฟฟ้าของหม้อแปลงลดลงไปแล้วแต่ชนิดของตู้
ดังนั้นผู้ซื้อจะต้องระบุด้วยว่ากำลังไฟฟ้าของหม้อแปลงเป็นกำลังไฟฟ้าของหม้อแปลงภายในตู้
การสั่งซื้อหม้อแปลงไฟฟ้าควรจะระบุความสามารถป้องกันฝุ่นและน้ำด้วย ตัวอย่างเช่น
ตู้หม้อแปลงไฟฟ้า แบบ
IP23
หมายเลข 2 หมายถึง
ตู้หม้อแปลงสามารถป้องกันวัสดุหรือฝุ่นที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 1.2 mm .
เข้าตู้ หมายเลข 3 หมายถึงตู้หม้อแปลงสามารถป้องกันน้ำได้
ถ้าทิศทางการฉีดน้ำอยู่ระหว่าง 0-60 องศา จากแนวดิ่ง
· ความสูญเสีย (Losses)
ความสูญเสียของหม้อแปลงแบ่งออกเป็นความสูญเสียในแกนเหล็กและความสูญเสียในขดลวด
ความสูญเสียทั้งสองชนิดนี้ควรจะมีค่าต่ำเพื่อลดความสูญเสียค่าไฟฟ้าที่จะต้องจ่ายให้กับการไฟฟ้า
ฉะนั้นผู้เลือกซื้อหม้อแปลงไฟฟ้า
ควรจะนำค่าความแตกต่างระหว่างความสูญเสียมาเปรียบเทียบเป็นจำนวนเงินโดยคิดค่าความสูญเสียในแกนเหล็ก
1 วัตต์ = 97 บาท
และค่าความสูญเสียในขดลวด 1 วัตต์ = 48 บาท
· การทดสอบแรงดันไฟฟ้า
( ( ((((TEST VOLTAGE)
หม้อแปลงไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานควรจะต้องผ่านการทดสอบโดยป้อนแรงดันไฟฟ้าที่ขั้วหม้อแปลง
เพื่อทดสอบระดับความเป็นฉนวนในตัวหม้อแปลง
ระดับเสียงของหม้อแปลงไฟฟ้า
ตามปกติแล้วจะเกิดเสียงขึ้นภายในตัวหม้อแปลงไฟฟ้าเมื่อมีการจ่ายไฟฟ้าผ่านตัวหม้อแปลง
หม้อแปลงไฟฟ้าที่ดีควรจะมีเสียงรบกวนน้อยขณะจ่ายไฟฟ้า
โดยปกติแล้วระดับความดังของเสียงวัดเป็นเดซิเบล โดยวัดที่ระยะห่างจากตัวหม้อแปลง 1 เมตร
ระดับความดังของเสียงกำหนดตามขนาดของหม้อแปลงไฟฟ้า
รายงานการทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้า
ทุกครั้งที่ซื้อหม้อแปลงไฟฟ้าจะต้องขอรายงานการทดสอบจากผู้ขายเพื่อตรวจสอบคุณภาพของหม้อแปลงไฟฟ้า ข้อมูลในรายงานการทดสอบควรระบุค่าดังนี้
-
ค่า Impedance Voltage และค่า Impedance Losses
-
ค่ากระแสไฟฟ้าและความสูญเสียไฟฟ้า
ขณะที่หม้อแปลงไฟฟ้าไม่มีการโหลด
-
ค่าความต้านทานของขดลวดและอัตราส่วนของขดลวดด้านแรงสูงและแรงต่ำ
-
การทดสอบขดลวดโดยป้อนแรงดันไฟฟ้าสองเท่าของแรงดันไฟฟ้าปกติเป็นเวลา
2 นาที
-
ค่าวัดระดับความดังของเสียง
-
การวัดค่าของ Partial Discharges
ตามข้อมูลดังกล่าวแล้วจะเป็นแนวทางสำหรับการเลือกซื้อหม้อแปลงไฟฟ้า
อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้อมูลของผู้ผลิตทั้งสองรายจะเท่ากันก็มิได้หมายความว่าหม้อแปลงไฟฟ้าทั้งสองผู้ผลิตจะมีคุณภาพเท่ากัน
ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์และชื่อเสียงของบริษัทผู้ผลิตด้วย