เนื้อหาที่สนใจ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ปรากฏการณ์โลกร้อนกับข้อเท็จจริงที่ทุกคนอาจยังไม่รู้

ปรากฏการณ์โลกร้อน
กับข้อเท็จจริงที่ทุกคนอาจยังไม่รู้
นักวิทยาศาสตร์ขนานนามความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกนี้ว่า "ปรากฏการณ์โลกร้อน (Global Warming)" ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง Fossil Fuel (เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ อันได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน) ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปสะสมที่ชั้นบรรยากาศ จนกระทั่งกลายเป็นชั้นของก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซด์บางๆ ห่อหุ้มโลกไว้ ชั้นก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซด์นี้จะไม่ยอมให้ความร้อนจากดวงอาทิตย์เข้ามาสู่โลกได้ แต่จะไม่ยอมให้ความร้อนออกไป นำไปสูปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect ภาวะที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีกลุ่มไม่เห็นด้วย อ้างว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปตามวงจรทางธรรมชาติเท่านั้น เพราะในอดีต(และขอย้ำว่าในอดีต) มีปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่าโลกเราเคยผ่านปรากฏการณ์โลกร้อนเช่นนี้มาก่อนเมื่อประมาณหนึ่งร้อยล้านปีที่แล้ว ก่อนที่เราจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งเมื่อประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นปีที่แล้ว และกลุ่มผู้ปฏิเสธทฤษฎีปรากฏการณ์เรือนกระจกต่างก็อ้างว่าโลกของเรากำลังจะเข้าสู่ปรากฏการณ์โลกร้อน ตามวงจรของธรรมชาติอีกครั้ง และความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศทั้งหมดที่เกิดขึ้นมิได้มีสาเหตุมาจากผลพวงของพฤติกรรมมนุษย์แต่อย่างใด แต่เราเพิ่งจะออกจากยุคน้ำแข็งเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสองพันปีที่ผ่านมา ในขณะที่ช่วงเวลาระหว่างยุคน้ำแข็งกับปรากฏการณ์โลกร้อนครั้งที่แล้วใช้เวลานับล้านปี ท่านคิดว่าข้อโต้แย้งดังกล่าวสมเหตุสมผลหรือไม่ ?
จากข้อเท็จจริงที่ควรรู้ ผลสืบเนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่มากเป็นประวัติการณ์ นำไปสู่ปรากฏการณ์เรือนกระจกที่สูงที่สุดเท่าที่เคยวัดมา ปรากฏการณ์โลกร้อนจึงเป็นมหันตภัยที่คุกคามอนาคตของเราทุกคน และผลที่ตามมานำไปสู่การสู่การละลายและสลายตัวลงในอัตราที่รวดเร็วเช่นกัน ความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศที่โลกกำลังประสบอยู่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นไปสู่ภัยธรรมชาติที่จะรุนแรงยิ่งขึ้น และผิดแผกไปจากเดิม อย่างปรากฏการณ์เอลลิโน ลานิญญา ดังนั้นเมื่อโลกเราต้องเผชิญภาวะน้ำมันหมดโลกและด้วยอัตราการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่รวดเร็วเช่นนี้จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึงเจ็ดเมตร ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้กรุงเทพฯ ต้องจมอยู่ใต้น้ำ
............................................