Search
Detail Energy & Power Technology
facebook.com
เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อ สื่อสารกับทางทีมงาน
ระหว่าง แลกเปลี่ยน ความรู้ ประสบการณ์ ด้านไฟฟ้าหรือเกี่ยวข้องครับ
แวะไป พูดคุย ได้ครับ
FACEBOOK.COM/pages/Chinaree-engineering
ระหว่าง แลกเปลี่ยน ความรู้ ประสบการณ์ ด้านไฟฟ้าหรือเกี่ยวข้องครับ
แวะไป พูดคุย ได้ครับ
FACEBOOK.COM/pages/Chinaree-engineering
ปล.สำหรับ บทความ และคำถามที่ส่งมา ผมจะทยอยตอบให้มากที่สุดครับ
ระยะเวลาดังกล่าว ออกไปติดตั้งงาน Turbine ตอนนี้ระบบเสร็จเกือบหมดแล้ว
จึงมีเวลามาอัพเดตข้อมูลครับ
ระยะเวลาดังกล่าว ออกไปติดตั้งงาน Turbine ตอนนี้ระบบเสร็จเกือบหมดแล้ว
จึงมีเวลามาอัพเดตข้อมูลครับ
วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ขีดจำกัดของพลังงานในเมืองไทย
ปัญหาในระบบพลังงานไฟฟ้าในเมืองไทย เริ่มหาทางออกกันแล้ว ยิ่ง นิวเคลียร์ ไม่ใช่คำตอบ (เพราะเหตุการระเบิดในญี่ปุ่น) จำเป็นที่ผู้เกี่ยวข้องกำลังหาทางออก ซึ่งที่ผมสังเกต คือ
1.การซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว,พม่า) แต่ขาดความมั่นคงทางด้านพลังงาน
2.โรงไฟฟ้าถ่านหิน น่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการสร้างโรงไฟฟ้าอีกครั้ง เพราะเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สูงขึ้น
และ 3.การรณรงค์ พลังงานทดแทน หรือ อยากให้เมืองไทย เป็นเมืองพลังงานทดแทนเต็มรูปแบบ โดยสร้าง Model เมืองพลังงานทดแทนต้นแบบขึ้น เดี๋ยวจะเอารายละเอียดให้ดูว่า "เมืองต้นแบบ มีพลังงานชนิดใดบ้าง"
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Circuit breaker (SF6) ตอนที่ 3
คุณสมบัติของก๊าซ SF6
รูปที่ 1 โครงสร้างทางโมเลกุลของ SF6
ก๊าซ SF6 มีชื่อเรียกว่า ซัลเฟอร์-เฮก-ซาฟลูออไรด์ (Sulphur-hexafluoride)เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น โครงสร้างของโมเลกุล ดังรูปที่ 1 จะอยู่ในสภาวะสมมาตร(symmetrically) เป็นอย่างยิ่ง โดยมีอะตอมของซัลเฟอร์อยู่ที่จุดศูนย์กลางและล้อมรอบด้วยอะตอมฟลูออรีน 6 อะตอม ซึ่งก่อให้โครงสร้างของโมเลกุลแบบ octahedron อิเล็กตรอนของอะตอมฟลูออรีน 6 อะตอมจะเข้าจับกับอิเล็กตรอนอิสระของอะตอมซัลเฟอร์อีก 6 อะตอม ซึ่งทำให้อะตอมทั้งสองประเภทจับกันเข้าเป็นคู่ๆ อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้โมเลกุลของก๊าซ SF6 มีความเสถียรภาพและไม่เกิดปฏิกิริยาทางเคมีใดๆ โดยสามารถทนอุณหภูมิได้ถึง 500 °c และสามารถนำไปใช้กับวัสดุที่เป็นฉนวนได้ทุกๆ ประเภท
เนื่องจากก๊าซมีน้ำหนักโมเลกุลค่อนข้างสูง ดังนั้นก๊าซ SF6 จึงมีความหนาแน่นสูงมาก คือ ตกประมาณ 5 เท่าของอากาศ และความเร็วเสียงในก๊าซ SF6 จะตกประมาณ 130 เมตร/วินาที
ความเป็นฉนวนของก๊าซ SF6
ก๊าซ SF6 มีค่าความเป็นฉนวนสูงมาก เนื่องจากอิเล็กตรอนจะถูกจับและยึดไว้แน่นกับโมเลกุลของก๊าซ จะเหลืออยู่ก็แต่เพียงอิออนลบ ทำให้ก๊าซ SF6 มีคุณสมบัติเป็นอิเล็กโตรเนกาตีฟ สูงมาก ดังนั้นประจุไฟฟ้าที่มักจะเกิดขึ้นจากอิเล็กตรอนอิสระที่ถูกเร่งให้มีความเร็วในสนามแม่เหล็ก จึงถูกต่อต้านด้วยคุณสมบัติของอิออนลบ คุณสมบัติข้อนี้เองของก๊าซ SF6 รวมทั้งความเสถียรทำให้ต้องการพลังงานในการทำให้ก๊าซเกิดการอิออนไนเซชั่นสูงมาก ตกประมาณ 19EV จึงจะทำให้ก๊าซมีค่าความเป็นฉนวนสูง ค่าความเป็นฉนวนของก๊าซ SF6 จะเพิ่มขึ้น เมื่อค่าความดันของก๊าซสูงมากขึ้นที่ค่าความดันบรรยากาศ ค่าความดันเป็นฉนวนนี้จะสูงกว่าค่าความเป็นฉนวนของอากาศประมาณ 2.5 เท่า
การเสียหายของเบรกเกอร์ SF6
![]() |
รูปที่ 2 Breaker SF6 ที่มีการรั่วที่กระบอก บริเวณลูกถ้วย |
การเสียหายหรือใช้การไม่ได้ของเบรกเกอร์ SF6 อันเป็นผลมาจากการที่กระบอกที่บรรจุก๊าซ SF6 จะเกิดการรั่วนั้น มีโอกาสเกิดขึ้รน้อยกว่าการที่มีอากาศรั่วไหลเข้ามาในกระบอกของเบรกเกอร์แบบสุญญากาศ เพราะกระบอกบรรจุก๊าซ SF6 ทำด้วยสารจำพวกอิป๊อกซี่ ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน ต่อความเสียหาย และความกระทบกระเทือนทางกายภาพมากกว่ากระบอกแก้วหรือกระบอกเซรามิกในเบรกเกอร์แบบสุญญากาศ กระบอกบรรจุก๊าซ SF6 ซึ่งเดิมมีค่าความดันที่ 22 psi สามารถทำการตัดตอนกระแสไฟฟ้าได้ตามปกติ
แม้ว่าจะเกิดการรั่ว ค่าความดันในกระบอกไม่เหลือเลย แต่อากาศก็ไม่สามารถเข้าไปในกระบอกบรรจุก๊าซได้
เพราะยังมีค่าความดันเป็นบวกอยู่ ก็ยังสามารถตัดตอนกระแสไฟฟ้าได้อย่างน้อย 1 ครั้ง
ยกเว้นกรณีมีอากาศเข้าไปแทนที่ก๊าซ ในกระบอกบรรจุ หน้าคอนแทคจะเกิดความเสียหาย เมื่อมีการตัดตอนกระแส ดังนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้น ควรหมั่นตรวจสอบ กลไกการทำงานของชุดอุปกรณ์ควบคุม หรือฉนวน
อายุการใช้งานของกระบอกบรรจุก๊าซ SF6 เป็นต้น เพื่อการใช้งานอย่างปลอดภัย และยืนยาวนั่นเอง
.........................................
.........................................
มี catalog Circuit Breaker ทุกประเภท ของ ABB,Schneider Electric,Mitsubishi Electric
"MV Switchgear, MV/LV Dry type transformer, Low Voltage Circuit Breaker, Power meter, Surge arrester MotorStarter , UPVC Conduit and Accessories"
ติดต่อ narongpongc@gmail.com หรือ 0815028840
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Circuit breaker (SF6) ตอนที่ 2
กลไกการทำงานของเบรคเกอร์แบบ SF6 พิจารณาจากรูปที่ 1
รูปที่ 1
ส่วนประกอบต่างๆ ของเบรกเกอร์ มีหน้าคอนแทคสองชุด ก็คือ หน้าคอนแทคหลัก (main contact) และหน้าคอนแทคอาร์ค (arc contact) ซึ่งทำงานในลักษณะคู่ขนาน โดยหน้าคอนแทคอาร์ค จะเป็นตัวที่ปิดวงจรก่อน ในขณะที่หน้าคอนแทคเคลื่อนเข้าหากัน และจะทำหน้าที่เปิดวงจรที่หลังเมื่อหน้าคอนแทคเคลื่อนที่ออกจากกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกัดกร่อนเนื่องจากอาร์คขึ้น กับหน้าคอนแทคหลัก ซึ่งจะแสดงรายละเอียดขั้นตอนการทำงาน เปิด/ปิด ดังนี้
1.ในสภาวะที่หน้าคอนแทคปิด กระแสของวงจรจะไหลผ่านหน้าคอนแทคทั้งหมด ทั้งชุดเคลื่อนที่และชุดอยู่กับที่ รวมทั้งท่อตัวนำกระแส (conductor tube)
2.เมื่อเบรกเกอร์จะเปิดวงจรหรือจะทำการตัดต่อ ชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนที่ลงมาด้านล่าง แต่เนื่องจากลูกสูบ นั้นยังอยู่กับที่ ก๊าซ SF6 ที่บรรจุอยู่ในกระบอกสูบจึงถูกอัด
3.เมื่อหน้าคอนแทคหลักเปิดออกแล้ว กระแสก็จะไหลผ่านหน้าคอนแทคอาร์คเท่านั้น
4.ในขณะเดียวกันนั้นก๊าซ SF6 ที่บรรจุอยู่ในกระบอกสูบจะยังคงถูกอัดด้วยลูกสูบและค่าความดันของก๊าซ SF6 จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
5.เมื่อมีอาร์คเกิดขึ้น เนื่องจากการเปิดหน้าคอนแทคอาร์ค ก๊าซ SF6 ที่ถูกอัดจะถูกเป่าเข้าไปดับอาร์คโดยผ่านทางหัวฉีดอัดก๊าซ ซึ่งทำให้อาร์คถูกดับก๊าซ SF6 ที่ถูกอัดจะถูกเป่าออกไปจากเบรคเกอร์เหมือนกับลักษณะของปืนฉีดน้ำ
6.ขณะเปิดวงจร ก๊าซ SF6 จะถูกเป่าออกไปดับอาร์ค จะเห็นได้ว่า กระแสอาร์คจะถูกกระจายออกไปทั้งในทิศทางขึ้นไปข้างบนและลงมาข้างล่าง
7.หลังจากการเปิดวงจรแล้ว ช่องว่างที่อยู่ระหว่างชุดหน้าคอนแทคคงที่และเคลื่อนที่นั้นจะถูกปกคลุมด้วยก๊าซ SF6 ทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันมิให้เกิดอาร์คขึ้นมาใหม่
.........................................
มี catalog Circuit Breaker ทุกประเภท ของ ABB,Schneider Electric,Mitsubishi Electric
"MV Switchgear, MV/LV Dry type transformer, Low Voltage Circuit Breaker, Power meter, Surge arrester MotorStarter , UPVC Conduit and Accessories"
ติดต่อ narongpongc@gmail.com หรือ 0815028840
วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Circuit breaker ตอนที่ 1
อุปกรณ์ตัดต่อนที่ใช้กับแรงดันไฟฟ้า ระหว่าง 380-22,000 volt มีอยู๋หลายแบบ ได้แก่
- แบบใช้น้ำมัน (oil circuit breaker)
- แบบอากาศ (air circuit breaker)
- แบบสุญญากาศ (vaccum circuit breaker)
หลักการของ circuit แบบ SF6
ส่วนประกอบที่สำคัญของเบรคเกอร์แบบนี้ คือ กระบอกบรรจุหน้าคอนแทคที่ภายในมีก๊าซ SF6 บรรจุอยู่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกระบอกของเบรคเกอร์แบบสุญญากาศ ภายในกระบอกจะเป็นภาชนะปิด มีความดันของก๊าซ SF6 เป็น 1.5 เท่าของความดันบรรยากาศ (ประมาณ 22 psi)
ซึ่งนั่นเป็นข้อดีของ SF6 เพราะกระบอกที่บรรจุหน้าคอนแทคสามารถเก็บ SF6 ที่มีค่าความดันสูงกว่าโดยไม่เกิดการรั่วไหลเข้าสู่ภายใน และยังมีสวิตซ์ความดัน ไว้ตรวจจับการรั่วไหลของ SF6 ด้วย และตัวเบรคเกอร์เองมีขนาดกะทัดรัดและทำงานอย่างน่าเชื่อถือ พร้อมมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน โดยสามารถตัดตอนในขณะที่กระแส full load พร้อมทั้งอายุการใช้งานของกลไกประมาณ 10,000 ครั้ง หรือในใช้ขณะมีการตัดตอนกระแสลัดวงจรก็สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 30-50 ครั้ง
......................................
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบต่อกับระบบจำหน่าย (PV Grid connected system)
ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบต่อกับระบบจำหน่าย (PV Grid connected system)
เป็นระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ที่ถูกออกแบบสำหรับผลิตไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์เปลี่ยนระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับเข้าสู่ระบบจำหน่ายไฟฟ้า National Grid โดยตรง มีหลักการทำงานแบ่งเป็น 2 ช่วง กล่าวคือ ในช่วงเวลากลางวัน เซลล์แสงอาทิตย์ได้รับแสงแดดสามารถผลิตไฟฟ้าจ่ายให้แก่โหลดได้โดยตรง โดยผ่านอุปกรณ์เปลี่ยนระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ และหากมีพลังงานไฟฟ้าส่วนที่เกินจะถูกจ่ายเข้าระบบจำหน่ายไฟฟ้า สังเกตได้เนื่องจากมิเตอร์วัดพลังงานไฟฟ้าจะหมุนกลับทาง ส่วนในช่วงกลางคืนเซลล์แสงอาทิตย์ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ กระแสไฟฟ้าจากระบบจำหน่ายไฟฟ้าจะจ่ายให้แก่โหลดโดยตรง สังเกตได้จากมิเตอร์วัดพลังงานไฟฟ้าจะหมุนปกติ ดังนั้น ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบต่อกับระบบจำหน่ายจะเป็นการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าเข้าถึง อุปกรณ์ระบบที่สำคัญประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์เปลี่ยนระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับชนิดต่อกับระบบจำหน่ายไฟฟ้า Grid connected เป็นต้น
......................................................................................................................
วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เมื่อนิวเคลียร์ ไม่ใช่คำตอบที่ ใช่ สำหรับประเทศไทย
สมดุล ต้นทุนพลังงานไฟฟ้า
เมื่อนิวเคลียร์ ไม่ใช่คำตอบที่ ใช่ สำหรับประเทศไทย
จากอุบัติภัยที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ประเทศญี่ป่น ภายหลังเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยต้องกลับมาทบทวนแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศอีกครั้ง
ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ประเทศไทยมีแนวคิดในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ใน 5 พื้นที่เป้าหมาย คือ
1.อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี
2.พนมรอก อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์
3.บ้านไม้รูด อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
4.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี
และ 5.บ้านปากน้ำละแม อ.ละแม จ.ชุมพร ทว่าได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ตลอดมา เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย กอรปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความรู้สึกไม่เชื่อมั่นของประชาชนมากยิ่งขึ้น
เมื่อพลังงานนิวเคลียร์ ไม่ใช่คำตอบที่ ใช่ สำหรับประเทศไทย คำถามคือ แล้วพลังงานแบบไหน จึงจะเป็นคำตอบที่ ใช่ การสะท้อนถึงสถานการณ์การใช้พลังงานไฟฟ้าในปัจจุบัน จำเป็นต้องตระหนักและหารือ แก้ปัญหา ร่วมกัน รวมทั้งต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1.ระบบผลิตไฟฟ้า ต้องเพียงพอต่อการใช้
ข้อเท็จจริง : พลังงานไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันผลิตจากหลาย
เทคโนโลยี แต่ที่มีการใช้อย่างต่อเนื่องยาวนาน คือ ไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โดยเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ คือ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเตา
เทคโนโลยีถัดมา คือ ไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนร่วม (combined cycle power plant)เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสีย โดยประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าที่เป็นพลังงานความร้อนร่วมประมาณ 6,800 เมกะวัตต์ จากปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 29,000 เมกะวัตต์ และยังมีเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ (hydro power plant) จากเขื่อน 17 เขื่อน ผลิตไฟฟ้าประมาณ 3,400 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมผลิตกระแสไฟฟ้าในสัดส่วน 50:50 โดยโรงไฟฟ้าที่ผลิตโดยเอกชนแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ดังนี้
· กลุ่มโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer: IPP)มีกำลังการผลิตตั้งแต่ 90 เมกะวัตต์ขึ้นไป ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 10,805 เมกะวัตต์ ถ่านหินประมาณ 1,346 เมกะวัตต์ รวมประมาณ 12,000 เมกะวัตต์
· กลุ่มเอกชนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer:SPP)
มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าทั้งในรูปแบบไฟฟ้าและไอน้ำร่วม (cogeneration) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน(renewable)
· กลุ่มเอกชนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก (Very Small Power Producer: VSPP) ผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าต่ำกว่า หรือตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ลงมา ผลิตฟ้าและไดน้ำร่วมกัน(cogeneration)โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน (renewable)
2.ระบบสายส่งต้องมีความมั่นคง
ข้อเท็จจริง : ระบบสายส่งต้องมีความมั่นคง และเชื่อถือได้ครอบคลุม
และมีเสถียรภาพ ไม่กระชาก ไม่กระพริบ ปัจจุบันประเทศไทย มีสถานีไฟฟ้าแรงดันสูงประมาณ 208 แห่งทั่วประเทศ มีพิกัดหม้อแปลง 75,505 MVA มีความยาวสายส่ง 30,555วงจรกิโลเมตร
3.ความสามารถในการพึ่งพาตัวเอง
ข้อเท็จจริง : ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ทั้งในแง่แหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยเชื้อเพลิงที่สามารถหาได้ภายในประเทศมีประมาณ 88 เปอร์เซ็นต์ของเชื้อเพลิงที่ใช้ทั้งหมด
แบ่งเป็น ก๊าซธรรมชาติ ประมาณ 72 เปอร์เซ็นต์ ถ่านหิน ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ พลังงานน้ำ 5 เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆ อีกประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ แหล่งก๊าซธรรมชาติที่สำคัญ คือ อ่าวไทย ส่วนบนบกจากแหล่งสินภูฮ่อม จ.อุดรธานี และ 1 ใน 3 ของการใช้ คือ ก๊าซธรรมชาติที่นำเข้าจากพม่าและยังต้องมีการนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ สปป.ลาว โดยได้มีการทำ MOU ซื้อขายไฟฟ้าประมาณ 7,000 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ยังต้องมีความหลากหลายในการใช้เชื้อเพลิง หากพึ่งพาเชื้อเพลิงอย่างหนึ่งอย่างใดมากเกินไป ก็จะเกิดปัญหา ยกตัวอย่าง ปัญหาที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ปีพ.ศ.2552 แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชมีปัญหา ขณะเดียวกันแหล่งก๊าซของพม่าก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าลดลงทันที จำเป็นต้องทดแทนการผลิตไฟฟ้าด้วยดีเซล น้ำมันเตา และพลังงานน้ำที่เขื่อนศรีนครินทร์ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม เนื่องจากมีการบุกรุกเขตน้ำไหล ทำให้ต้องหยุดกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำโดยทันที ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งหนึ่งแหล่งใดมากที่สุด ทำให้อยู่ในภาวะที่เสี่ยง ในหลายประเทศจึงนิยมกระจายความเสี่ยงในปริมาณที่มีสัดส่วนเท่ากัน ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดีของการกระจายความเสี่ยง โดยใช้ถ่านหิน ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติ ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ พลังงานทดแทน ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ และนิวเคลียร์ ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์
สำหรับประเทศไทยถือว่ามีความเสี่ยง เนื่องจากใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนระบบท่อก๊าซธรรมชาติก็เช่นเดียวกัน ในเวลานี้มีท่อจากอ่าวไทยขึ้นบก 3 ท่อ จากพม่ามาไทยอีก 1 ท่อ หากเกิดปัญหาท่อรั่ว จะส่งผลกระทบต่อระบบผลิตไฟฟ้าของไทยทันที
4.สังคมให้การยอมรับ
ข้อเท็จจริง :การเลือกใช้เทคโนโลยีในการผลิตพลังงานไฟฟ้าต้องเป็นเทคโนโลยีที่สังคมยอมรับได้ ไม่เบียดเบียนวิถีชีวิตของคนในชุมชน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคนในชุมชนต้องมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ
ทั้งหมดนี้ คือ ปัจจัยในการควบคุมความสมดุลพลังงานไฟฟ้า ที่ต้องประกอบด้วย สมดุลทางด้านเทคนิค/เทคโนโลยีการผลิต สมดุลด้านระบบสายส่ง สังคมให้การยอมรับ ไม่ส่งกะทบต่อวิถีชุมชน สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญสามารถพึ่งพาตัวเองได้
วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554
การทดสอบฉนวนมอเตอร์เพื่อการบำรุงรักษาแบบทำนาย ตอนที่ (2)
ถ้ารู้ล่วงหน้าว่ามอเตอร์จะเสียเมื่อไร คงดีกว่าปล่อยให้เสียแล้วค่อยนำไปซ่อม
การตัดสินใจทำการปรับปรุงสภาพฉนวนของมอเตอร์ อาจใช้การอ่านค่าตัวเลขที่ระบุสภาพฉนวนทันทีถ้าค่าที่อ่านได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เช่นถ้าค่าความต้านทานฉนวนมีค่าต่ำกว่า 1 เมกะโอห์ม ต้องรื้อชุดขดลวดออกแล้วพันใหม่ อย่างไรก็ตามในทางที่ดีที่สุดแล้วการตัดสินใจควรใช้ข้อมูลที่วัดได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีลักษณะบอกถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพฉนวน วิธีนี้จะวัดสภาพฉนวนเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ แล้วดูความสัมพันธ์ของค่าที่วัดได้ครั้งหลังสุดเทียบกับค่าก่อนๆ หากค่าที่วัดได้ครั้งหลังสุดแตกต่างไปจากค่าก่อนๆ มาก ก็ต้องดำเนินการแก้ไข
การทดสอบสภาพฉนวนมอเตอร์ที่ให้ผลในลักษณะเอาไปใช้ในงานการบำรุงรักษาแบบทำนายมีอยู่ห้าวิธีด้วยกันคือ
1.การทดสอบความต้านทานฉนวน
2.การทดสอบการดูดกลืนของไดอิเล็กตริก หรือการทดสอบหาดรรชนีความต้านทานฉนวน
3.การทดสอบศักย์สูงกระแสตรง
4.การทดสอบตัวประกอบกำลัง
5.การทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จ
.............................................
การตัดสินใจทำการปรับปรุงสภาพฉนวนของมอเตอร์ อาจใช้การอ่านค่าตัวเลขที่ระบุสภาพฉนวนทันทีถ้าค่าที่อ่านได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เช่นถ้าค่าความต้านทานฉนวนมีค่าต่ำกว่า 1 เมกะโอห์ม ต้องรื้อชุดขดลวดออกแล้วพันใหม่ อย่างไรก็ตามในทางที่ดีที่สุดแล้วการตัดสินใจควรใช้ข้อมูลที่วัดได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีลักษณะบอกถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพฉนวน วิธีนี้จะวัดสภาพฉนวนเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ แล้วดูความสัมพันธ์ของค่าที่วัดได้ครั้งหลังสุดเทียบกับค่าก่อนๆ หากค่าที่วัดได้ครั้งหลังสุดแตกต่างไปจากค่าก่อนๆ มาก ก็ต้องดำเนินการแก้ไข
การทดสอบสภาพฉนวนมอเตอร์ที่ให้ผลในลักษณะเอาไปใช้ในงานการบำรุงรักษาแบบทำนายมีอยู่ห้าวิธีด้วยกันคือ
1.การทดสอบความต้านทานฉนวน
2.การทดสอบการดูดกลืนของไดอิเล็กตริก หรือการทดสอบหาดรรชนีความต้านทานฉนวน
3.การทดสอบศักย์สูงกระแสตรง
4.การทดสอบตัวประกอบกำลัง
5.การทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จ
.............................................
1.การทดสอบความต้านทานฉนวน หรือที่เราเรียกกันว่า
การวัดค่าเมกะโอห์มของฉนวน เป็นวิธีที่ง่าย
และสะดวกที่สุดในการใช้กับการทดสอบเพื่อการบำรุงรักษาแบบทำนาย
วิธีนี้มีการประยุกต์ใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติง่ายและรวดเร็ว แต่ผลการทดสอบจะใช้บ่งถึงสภาพของฉนวนเมื่อเทียบกับกราวด์เท่านั้น
เช่น ฉนวนของชุดขดลวดสเตเตอร์ของมอเตอร์เหนี่ยวนำเสียสภาพทำให้ชุดขดลวดต่อลงกราวด์
การทดสอบด้วยวิธีนี้จะต่อสายกราวด์ของเมกะโอห์มมิเตอร์เข้ากับกรอบของมอเตอร์แล้วป้อนแรงดันกระแสตรงขนาด
500 โวลต์ 1,000 โวลต์ หรือ 2,500 โวลต์ เข้าที่ชุดขดลวดของมอเตอร์
ถ้าเป็นชุดขดลวดที่ดีไม่ชำรุดและแห้งจะอ่านค่าความต้านทานฉนวนได้หลายร้อยหรือหลายพันเมกะโอห์ม
แต่ถ้าฉนวนอยู่ในสภาพเสื่อมมีความชื้นหรือเปื้อนจาระบี น้ำมัน หรือสารเคมี
จะอ่านค่าความต้านทานฉนวนได้เพียงไม่กี่เมกะโอห์มเท่านั้น ถ้าอ่านได้ต่ำกว่า 1
เมกะโอห์ม จะเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่าถึงจุดอันตรายที่ฉนวนเสื่อมสภาพเมื่อไรก็ได้
มาตรฐาน ANSI/IEEE หมายเลข 43 ของอเมริกา ได้กำหนดเกณฑ์ต่ำสุดของค่าที่ยอมรับได้ไว้ว่า
ต้องอ่านค่าเมกะโอห์มได้ไม่ต่ำกว่า 1 เมกะโอห์มบวกกับอีก 1 เมกะโอห์มต่อ 1,000
โวลต์ ของพิกัดแรงดันของมอเตอร์ด้วยเกณฑ์นี้มอเตอร์ที่มีพิกัดแรงดัน 460 โวลต์
(เป็นมอเตอร์ที่ใช้งานในอเมริกา) จะต้องอ่านค่าความต้านทานฉนวนได้ไม่ต่ำกว่า 1.46
เมกะโอห์ม เป็นต้น
2.การทดสอบการดูดกลืนของไดอิเล็กตริก
การทดสอบนี้เป็นการทดสอบขยายผลของการทดสอบความต้านทานฉนวน
โดยการอ่านค่าความต้านทานฉนวนสองค่าคือค่าที่เวลา 1 นาที และ 10 นาที
นับตั้งแต่เริ่มป้อนแรงดันให้กับฉนวน แล้วนำมาหาค่าดรรชนีความต้านทานฉนวน (Polarization
index : PI) โดย PI เท่ากับอัตราส่วนของค่าความต้านทานฉนวนที่ 10 นาที เมื่อป้อนแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงให้กับฉนวนเป็นเวลานาน
ๆโมเลกุลของฉนวนจะมีสภาพเป็นขั้วบวกขั้วลบเกิดขึ้น
มีผลทำให้อ่านค่าความต้านทานฉนวนได้สูงขึ้น มาตรฐาน ANSI/IEEE หมายเลข 43
ได้กำหนดเกณฑ์ค่าต่ำสุดของ PI ของฉนวนชั้นต่างๆ ไว้ดังนี้ ฉนวนชั้น A ต้องวัดค่า PI
ได้ไม่ต่ำกว่า 1.5 ฉนวนชั้น B และชั้น F ต้องวัดค่า PI
ได้ไม่ต่ำกว่า 2.0
3.การทดสอบศักย์สูงกระแสตรง
การทดสอบนี้เป็นการทดสอบความคงทนไดอิเล็กตริกของฉนวนเทียบกับกราวด์เป็นการทดสอบเพื่อหาจุดอ่อนของฉนวนที่อาจจะตรวจหาไม่พบ
จากการทดสอบด้วยแรงดันที่ค่อนข้างจะต่ำจากเมกะโอห์มมิเตอร์
การทดสอบด้วยศักย์สูงกระแสตรงนี้จะต่อกราวด์กับกรอบของมอเตอร์
แล้วค่อย ๆป้อนแรงดันกระแสตรงเป็นขั้นๆ
เข้าที่ชุดขดลวดจนถึงระดับสูงสุดที่กำหนดไว้ เช่นมาตรฐาน IEEE หมายเลข 48
กำหนดระดับแรงดันทำงานของมอเตอร์บวกกับ 1,000 โวลต์ เช่นมอเตอร์ 4,000
โวลต์จะใช้แรงดันทดสอบสูงสุดได้ 9,000 โวลต์ (2*4,000+1,000)
การทดสอบอาจแบ่งออกเป็นเก้าขั้นๆละ 1,000 โวลต์ หรือแบ่งเป็น 18 ขั้น ๆละ 500
โวลต์
ในการทดสอบจะวัดกระแสรั่ว (ขนาดเป็นไมโครแอมแปร์)
ที่ทุกค่าระดับแรงดันที่ป้อนเข้าไป โดยเริ่มจากค่าต่ำ ๆ
นำค่ากระแสรั่วที่วัดได้กับค่าแรงดันที่ป้อนมาเขียนกราฟ ผลที่ได้จะเป็นเส้นตรง
ถ้าเป็นขดลวดดี ขนาดของกระแสรั่วที่วัดได้ และความชันของกราฟที่เขียนได้
ไม่ใช่ข้อมูลที่จะนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินสถาพของฉนวนว่าดี หรือเสื่อม
สิ่งสำคัญที่ต้องการคือต้องได้เส้นกราฟเป็นเส้นตรง ถ้าในระหว่างการทดสอบได้เส้นกราฟที่มีความชันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
จะต้องหยุดการทดสอบ การเพิ่มขึ้นของกระแสรั่วอย่างกะทันหัน
เป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าเป็นชุดขดลวดที่มีปัญหาซึ่งฉนวนจะเสียสภาพฉับพลันได้หากดำเนินการทดสอบต่อไป
4.การทดสอบตัวประกอบกำลัง
การทดสอบตัวประกอบกำลังใช้หลักการที่ว่า ไดอิเล็กตริกที่ดีจะไม่มีการสูญเสียกำลังไฟ้ฟ้าในตัวเอง
ทำให้มีค่าประกอบกำลังเป็นศูนย์
การทดสอบนี้เหมาะกับการทดสอบมอเตอร์
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และหม้อแปลงขนาดค่อนข้างใหญ่
เครื่องวัดจะวัดค่ากำลังงานสูญเสียในฉนวน แรงดันไฟฟ้าที่ป้อนและกระแสไฟฟ้า
เพื่อนำมาคำนวณค่าตัวประกอบกำลังของฉนวน
เนื่องจากตัวประกอบกำลังไฟฟ้าของฉนวนที่ดีจะมีค่าใกล้เคียงศูนย์
การทดสอบทั้ง 4
วิธีที่กล่าวมาเหมาะกับการทดสอบสภาพฉนวนเทียบกับกราวด์
ไม่สามารถตรวจสอบความบกพร่องของฉนวนที่เกิดระหว่างรอบต่อรอบของขดลวด
ระหว่างขดลวดต่อขดลวด หรือระหว่าเฟสกับเฟสได้
ถึงแม้ว่าการทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จจะได้มีการประยุกต์ใช้งานในโรงงานผลิตมอเตอร์
และโรงงานซ่อมมอเตอร์เพื่อประกันคุณภาพของมอเตอร์มาเป็นเวลานานแล้ว
แต่เทคนิคดังกล่าวได้มีการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการบำรุงรักษาแบบทำนายในช่วงไม่กี่ปีมานี้เอง
อุปกรณ์ทดสอบดังกล่าวสามารถใช้ทดสอบได้ 2 อย่างคือ
การทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จและการทดสอบศักย์สูงกระแสตรง
5.การทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จ อาศัยหลักการที่ว่ามอเตอร์ที่มีชุดขดลวดที่ไม่บกพร่อง
ชุดขดลวดทั้ง 3 เฟส (มอเตอร์เหนี่ยวนำ มอเตอร์ซิงโครนัส)
จะมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง การทดสอบจะทำการทดสอบเปรียบเทียบชุดขดลวดทีละคู่เปรียบเทียบกัน
เช่น เฟส A กับ B, เฟส B กับ C, เฟส C กับ A การทดสอบจะทำโดยป้อนด้วยพัลส์แรงดันตรงที่มีลักษณะเหมือนกันเข้าไปที่ขดลวดทั้ง
2 พร้อมกัน พัลส์ที่เกิดการสั่น (Ringing Pulse)
จากชุดขดลวดทั้ง 2 จะถูกตรวจจับด้วยออสซิสโลสโคป ชนิด 2 เส้น (Dual trace)
ถ้าชุดขดลวดทั้งสองมีลักษณะเหมือนกัน พัลส์ทั้งสองจะเหมือนกัน และซ้อนกันสนิท
ในกรณีที่มีการลัดวงจรระหว่างรอบของขดลวด
คลื่นสะท้อนทั้งสองจะไม่เหมือนกันจึงไม่ซ้อนกัน
ปัจจุบันการบำรุงรักษาแบบทำนายล่วงหน้าจะให้ผลดีกว่า
การบำรุงรักษาแบบเดิมที่ปล่อยให้เครื่องจักรและอุปกรณ์เสียหายก่อนแล้วค่อยซ่อม
ดังนั้นการทดสอบสภาพฉนวนของมอเตอร์จึงเป็นแนวปฏิบัติอีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ทำนายความบกพร่องของฉนวนมอเตอร์ได้ล่วงหน้า
ทำให้สามารถทำการบำรุงรักษาล่วงหน้าได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
*******************************************
สนใจราคา Induction Motor ABB และอุปกรณ์ประกอบติดต่อได้ครับ
การควบคุมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบสำเร็จรูป (All-in-one)
การควบคุมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Control the generator)
เนื่องจากในปัจจุบันความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ต่อเนื่องนั้น สำหรับอุตสาหกรรม,อาคารสูง,โรงพยาบาล,ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ฯลฯ มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องจักร ต้องการการทำงานที่ต่อเนื่อง ดังนั้นความเสี่ยงในเรื่องความต่อเนื่องของระบบไฟฟ้า ที่เกิดจากอุปกรณ์ในระบบส่งจำหน่ายไฟฟ้าเกิดขัดข้อง สามารถเกิดขึ้นได้
มี catalog ครับ
............................................
เนื่องจากในปัจจุบันความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ต่อเนื่องนั้น สำหรับอุตสาหกรรม,อาคารสูง,โรงพยาบาล,ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ฯลฯ มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องจักร ต้องการการทำงานที่ต่อเนื่อง ดังนั้นความเสี่ยงในเรื่องความต่อเนื่องของระบบไฟฟ้า ที่เกิดจากอุปกรณ์ในระบบส่งจำหน่ายไฟฟ้าเกิดขัดข้อง สามารถเกิดขึ้นได้
รูปที่ 1 เทคโนโลยีในการควบคุมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าสำรอง ซึ่งระบบไฟฟ้าสำรองนั้นจำเป็นต้องมีชุดเปลี่ยนถ่ายแหล่งจ่ายไฟฟ้าปกติไปยังแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรองหรือฉุกเฉิน เรียกว่า Automatic Tranfer Switch (ATS)
และ ณ วันนี้เทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าไม่มีวันหยุด ทำให้มีการพัฒนาชุด ATS Controller ให้มีการทำงานและการมอนิเตอร์ที่เหนือกว่ารุ่นต่างๆ ข้างต้นที่กล่าวมาคือสามารถส่งข้อมูลการทำงานและควบคุมการทำงานได้จากทุกๆ ที่ (Remote Management Automatic Gen-set Protection & Controllers with Transfer Switching) ไม่ว่าจะเป็นการผ่าน Modem หรือผ่านการส่งข้อความ SMS ไปยังเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อแจ้งเตือนการทำงานของชุด Controller รวมไปถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของระบบไฟฟ้า เป็นต้นมี catalog ครับ
............................................
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554
VDO แสดงการทดสอบ bearing heat run
VDO แสดงการทดสอบการเดินเครื่อง Hydro Power Plant ในขณะเดินจ่ายโหลดเข้าสู่ระบบ (on grid system) ณ โรงไฟฟ้าพลังน้ำห้วยแม่หาด จ.เชียงใหม่
ซึ่งในการทดสอบ Bearing ดังกล่าว เพื่อให้ทราบถึงอุณหภูมิของ Bearing หลังจากที่ได้เปลี่่ยนชุด Bearing ใหม่ทั้งหมด ทั้งในสภาวะเดินตัวเปล่า และเดินจ่ายโหลด
....................................................................................................................
วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ระบบควบคุมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (stanby-generator)
Control panal (Automatic Transfer Switch)
ATS (Automatic Transfer Switch) เป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้ากำลังที่สำคัญและใช้ในระบบ Emergency System ซึ่งผู้ใช้งาน ATS ต้องการใช้ไฟฟ้าได้ทั้ง 2 แหล่งจ่าย (Source : Normal, Emergency) หรือมากกว่า 2 แหล่งจ่ายขึ้นไป เป็นต้น เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการใช้งาน โดยหลักการทำงาน คือ "ในกรณีไฟจากการไฟฟ้าดับ (PEA) ,ATS จะทำหน้าที่สับหรือย้ายไปใช้แหล่งจ่ายสำรอง และเมื่อไฟฟ้า (PEA) มา ,ATS จะสับหรือย้ายกลับคืนสู่สภาวะเดิมโดยอัตโนมัติ"
ดังนั้นการเลือกใช้ ATS จะขึ้นอยู่กับงบประมาณ และขนาดของ ATS(Rated current) เป็นสำคัญ เพราะในกรณีของงบประมาณ สามารถประยุกต์และดัดแปลง Magnetic ได้ หรือต้องการเป็น single coil ก็ได้
สนใจ ATS เรามีขนาด และความต้องการตามงบประมาณคุณ (มี catalog ครับ พร้อมใบเสนอราคา)
...................................................
การซ่อมบำรุงรักษาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ตัวอย่างการซ่อม เมื่อโหลดการใช้งาน (Load)กับกำลังไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Output power)ไม่เท่ากัน
จากรูปเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในระบบสื่อสาร เพื่อทำการ back-up ระบบไฟฟ้าให้กับโหลดของผู้ใช้งานตลอดเวลา
จากรูปแบบดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์, จัดการ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแก่ผู้ใช้งาน
.......................................................
จากรูปเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในระบบสื่อสาร เพื่อทำการ back-up ระบบไฟฟ้าให้กับโหลดของผู้ใช้งานตลอดเวลา
.......................................................
การทดสอบฉนวนมอเตอร์เพื่อการบำรุงรักษาแบบทำนาย
ถ้ารู้ล่วงหน้าว่ามอเตอร์จะเสียเมื่อไร
คงดีกว่าปล่อยให้เสียแล้วค่อยนำไปซ่อม
การเสื่อมสภาพของฉนวนจากความร้อน คือ
สาเหตุหลักของการเสียสภาพการเป็นฉนวนก่อนเวลาอันสมควรของฉนวนมอเตอร์
อาจจะกล่าวได้ว่าการให้มอเตอร์ทำงานที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิที่ออกแบบไว้ทุกๆ 10
องศาเซลเซียส จะทำให้อายุของฉนวนลดลงครึ่งหนึ่ง นั่นคือถ้าอุณหภูมิสูงเกินค่าที่ออกแบบไว้
10 องศา อายุของฉนวนจะเป็น 50% ของอายุที่ควรจะเป็น
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฉนวนมอเตอร์เสียสภาพคือ การรบกวนจากระบบไฟฟ้า
เช่นเกิดจากแรงดันเสิร์จ จากการทำงานของอุปกรณ์ตัดต่อระบบหรือจากฟ้าผ่า
แรงดันเสิร์จค่าสูงๆ จะทำให้เกิดความเสียหาย ตรงจุดอ่อนของฉนวนโดยทำให้เสียสภาพฉับพลัน
ด้วยเหตุนี้มอเตอร์ที่ต้องทำงานในจุดที่สำคัญจึงต้องมีการทดสอบสภาพฉนวนเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อประเมินคุณภาพของฉนวน
และได้รับการแก้ไขล่วงหน้าเพื่อป้องกันการเสียสภาพในระหว่างใช้งาน
การทดสอบความต้านทานฉนวน หรือที่เราเรียกกันว่า
การวัดค่าเมกะโอห์มของฉนวน เป็นวิธีที่ง่าย
และสะดวกที่สุดในการใช้กับการทดสอบเพื่อการบำรุงรักษาแบบทำนาย
วิธีนี้มีการประยุกต์ใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติง่ายและรวดเร็ว แต่ผลการทดสอบจะใช้บ่งถึงสภาพของฉนวนเมื่อเทียบกับกราวด์เท่านั้น
เช่น ฉนวนของชุดขดลวดสเตเตอร์ของมอเตอร์เหนี่ยวนำเสียสภาพทำให้ชุดขดลวดต่อลงกราวด์
การทดสอบด้วยวิธีนี้จะต่อสายกราวด์ของเมกะโอห์มมิเตอร์เข้ากับกรอบของมอเตอร์แล้วป้อนแรงดันกระแสตรงขนาด
500 โวลต์ 1,000 โวลต์ หรือ 2,500 โวลต์ เข้าที่ชุดขดลวดของมอเตอร์
ถ้าเป็นชุดขดลวดที่ดีไม่ชำรุดและแห้งจะอ่านค่าความต้านทานฉนวนได้หลายร้อยหรือหลายพันเมกะโอห์ม
แต่ถ้าฉนวนอยู่ในสภาพเสื่อมมีความชื้นหรือเปื้อนจาระบี น้ำมัน หรือสารเคมี
จะอ่านค่าความต้านทานฉนวนได้เพียงไม่กี่เมกะโอห์มเท่านั้น ถ้าอ่านได้ต่ำกว่า 1
เมกะโอห์ม จะเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่าถึงจุดอันตรายที่ฉนวนเสื่อมสภาพเมื่อไรก็ได้
มาตรฐาน ANSI/IEEE หมายเลข 43
ของอเมริกา ได้กำหนดเกณฑ์ต่ำสุดของค่าที่ยอมรับได้ไว้ว่า
ต้องอ่านค่าเมกะโอห์มได้ไม่ต่ำกว่า 1 เมกะโอห์มบวกกับอีก 1 เมกะโอห์มต่อ 1,000
โวลต์ ของพิกัดแรงดันของมอเตอร์ด้วยเกณฑ์นี้มอเตอร์ที่มีพิกัดแรงดัน 460 โวลต์
(เป็นมอเตอร์ที่ใช้งานในอเมริกา) จะต้องอ่านค่าความต้านทานฉนวนได้ไม่ต่ำกว่า 1.46
เมกะโอห์ม เป็นต้น
การทดสอบการดูดกลืนของไดอิเล็กตริก
การทดสอบนี้เป็นการทดสอบขยายผลของการทดสอบความต้านทานฉนวน
โดยการอ่านค่าความต้านทานฉนวนสองค่าคือค่าที่เวลา 1 นาที และ 10 นาที
นับตั้งแต่เริ่มป้อนแรงดันให้กับฉนวน แล้วนำมาหาค่าดรรชนีความต้านทานฉนวน (Polarization index : PI) โดย PI เท่ากับอัตราส่วนของค่าความต้านทานฉนวนที่
10 นาที เมื่อป้อนแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงให้กับฉนวนเป็นเวลานาน
ๆโมเลกุลของฉนวนจะมีสภาพเป็นขั้วบวกขั้วลบเกิดขึ้น
มีผลทำให้อ่านค่าความต้านทานฉนวนได้สูงขึ้น มาตรฐาน ANSI/IEEE หมายเลข 43 ได้กำหนดเกณฑ์ค่าต่ำสุดของ PI
ของฉนวนชั้นต่างๆ ไว้ดังนี้ ฉนวนชั้น A ต้องวัดค่า PI ได้ไม่ต่ำกว่า 1.5 ฉนวนชั้น B และชั้น F ต้องวัดค่า PI ได้ไม่ต่ำกว่า 2.0
การทดสอบศักย์สูงกระแสตรง
การทดสอบนี้เป็นการทดสอบความคงทนไดอิเล็กตริกของฉนวนเทียบกับกราวด์เป็นการทดสอบเพื่อหาจุดอ่อนของฉนวนที่อาจจะตรวจหาไม่พบ
จากการทดสอบด้วยแรงดันที่ค่อนข้างจะต่ำจากเมกะโอห์มมิเตอร์
การทดสอบด้วยศักย์สูงกระแสตรงนี้จะต่อกราวด์กับกรอบของมอเตอร์
แล้วค่อย ๆป้อนแรงดันกระแสตรงเป็นขั้นๆ
เข้าที่ชุดขดลวดจนถึงระดับสูงสุดที่กำหนดไว้ เช่นมาตรฐาน IEEE หมายเลข 48
กำหนดระดับแรงดันทำงานของมอเตอร์บวกกับ 1,000 โวลต์ เช่นมอเตอร์ 4,000
โวลต์จะใช้แรงดันทดสอบสูงสุดได้ 9,000 โวลต์ (2*4,000+1,000)
การทดสอบอาจแบ่งออกเป็นเก้าขั้นๆละ 1,000 โวลต์ หรือแบ่งเป็น 18 ขั้น ๆละ 500
โวลต์
ในการทดสอบจะวัดกระแสรั่ว (ขนาดเป็นไมโครแอมแปร์)
ที่ทุกค่าระดับแรงดันที่ป้อนเข้าไป โดยเริ่มจากค่าต่ำ ๆ
นำค่ากระแสรั่วที่วัดได้กับค่าแรงดันที่ป้อนมาเขียนกราฟ ผลที่ได้จะเป็นเส้นตรง
ถ้าเป็นขดลวดดี ขนาดของกระแสรั่วที่วัดได้ และความชันของกราฟที่เขียนได้
ไม่ใช่ข้อมูลที่จะนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินสถาพของฉนวนว่าดี หรือเสื่อม
สิ่งสำคัญที่ต้องการคือต้องได้เส้นกราฟเป็นเส้นตรง ถ้าในระหว่างการทดสอบได้เส้นกราฟที่มีความชันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
จะต้องหยุดการทดสอบ การเพิ่มขึ้นของกระแสรั่วอย่างกะทันหัน
เป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าเป็นชุดขดลวดที่มีปัญหาซึ่งฉนวนจะเสียสภาพฉับพลันได้หากดำเนินการทดสอบต่อไป
การทดสอบตัวประกอบกำลัง
การทดสอบตัวประกอบกำลังใช้หลักการที่ว่า ไดอิเล็กตริกที่ดีจะไม่มีการสูญเสียกำลังไฟฟ้าในตัวเอง
ทำให้มีค่าประกอบกำลังเป็นศูนย์
การทดสอบนี้เหมาะกับการทดสอบมอเตอร์
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และหม้อแปลงขนาดค่อนข้างใหญ่
เครื่องวัดจะวัดค่ากำลังงานสูญเสียในฉนวน แรงดันไฟฟ้าที่ป้อนและกระแสไฟฟ้า
เพื่อนำมาคำนวณค่าตัวประกอบกำลังของฉนวน
เนื่องจากตัวประกอบกำลังไฟฟ้าของฉนวนที่ดีจะมีค่าใกล้เคียงศูนย์
การทดสอบทั้ง 4
วิธีที่กล่าวมาเหมาะกับการทดสอบสภาพฉนวนเทียบกับกราวด์
ไม่สามารถตรวจสอบความบกพร่องของฉนวนที่เกิดระหว่างรอบต่อรอบของขดลวด
ระหว่างขดลวดต่อขดลวด หรือระหว่าเฟสกับเฟสได้
ถึงแม้ว่าการทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จจะได้มีการประยุกต์ใช้งานในโรงงานผลิตมอเตอร์
และโรงงานซ่อมมอเตอร์เพื่อประกันคุณภาพของมอเตอร์มาเป็นเวลานานแล้ว
แต่เทคนิคดังกล่าวได้มีการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการบำรุงรักษาแบบทำนายในช่วงไม่กี่ปีมานี้เอง
อุปกรณ์ทดสอบดังกล่าวสามารถใช้ทดสอบได้ 2 อย่างคือ
การทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จและการทดสอบศักย์สูงกระแสตรง
การทดสอบเปรียบเทียบเสิร์จอาศัยหลักการที่ว่ามอเตอร์ที่มีชุดขดลวดที่ไม่บกพร่อง
ชุดขดลวดทั้ง 3 เฟส (มอเตอร์เหนี่ยวนำ มอเตอร์ซิงโครนัส)
จะมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง การทดสอบจะทำการทดสอบเปรียบเทียบชุดขดลวดทีละคู่เปรียบเทียบกัน
เช่น เฟส A กับ B, เฟส B กับ C, เฟส C กับ A การทดสอบจะทำโดยป้อนด้วยพัลส์แรงดันตรงที่มีลักษณะเหมือนกันเข้าไปที่ขดลวดทั้ง
2 พร้อมกัน พัลส์ที่เกิดการสั่น (Ringing Pulse)
จากชุดขดลวดทั้ง 2 จะถูกตรวจจับด้วยออสซิสโลสโคป ชนิด 2 เส้น (Dual trace) ถ้าชุดขดลวดทั้งสองมีลักษณะเหมือนกัน พัลส์ทั้งสองจะเหมือนกัน
และซ้อนกันสนิท ในกรณีที่มีการลัดวงจรระหว่างรอบของขดลวด
คลื่นสะท้อนทั้งสองจะไม่เหมือนกันจึงไม่ซ้อนกัน
ปัจจุบันการบำรุงรักษาแบบทำนายล่วงหน้าจะให้ผลดีกว่า
การบำรุงรักษาแบบเดิมที่ปล่อยให้เครื่องจักรและอุปกรณ์เสียหายก่อนแล้วค่อยซ่อม
ดังนั้นการทดสอบสภาพฉนวนของมอเตอร์จึงเป็นแนวปฏิบัติอีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ทำนายความบกพร่องของฉนวนมอเตอร์ได้ล่วงหน้า
ทำให้สามารถทำการบำรุงรักษาล่วงหน้าได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)